อาถรรพ์นัดชิง…เมื่อชาติเดียวกันต้องมาดวลกันเอง

เสน่ห์อย่างหนึ่งของนัดชิงชนะเลิศศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก นั้นคือ ถึงแม้จะถูกมองเป็นทีมที่ด้อยกว่า หรืออาจจะมีประสบการณ์ในการเข้าชิงที่น้อยกว่า แต่เมื่อลงสนามแล้วทีมเหล่านั้นก็พร้อมจะกลายเป็นแจ็คผู้ฆ่ายักษ์เสมอ หลายต่อหลายครั้งแฟนบอลจึงได้เห็นทีมที่มีขุมกำลังและฟอร์มการเล่นที่เหนือกว่าต้องเป็นฝ่ายน้ำตาตกหลังจบเกมแข่งขันเสียเอง แต่ทั้งนี้ไม่ใช่กับนัดชิงชนะเลิศของสองสโมสรที่มาจากชาติเดียวกัน เพราะตามสถิติแล้วเมื่อไหร่ก็ตามที่สโมสรจากประเทศเดียวกันเข้าชิงชนะเลิศกันเอง ทีมที่เคยคว้าแชมป์มากกว่าจะเป็นฝ่ายเก็บถ้วยแชมป์เพิ่มได้ในที่สุด และนี่คือเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในนัดชิงชนะเลิศของสโมสรชาติเดียวกัน

ปี 2000 : เรอัล มาดริด กับ บาเลนเซีย

หลังก้าวเข้าสู่ยุคมิลเลนเนี่ยม ทีมสัญชาติสเปนก็กลายเป็นสองสโมสรจากประเทศเดียวกันที่ได้ลงเล่นในนัดชิงชนะเลิศเป็นครั้งแรก โดยเวลานั้นเรอัล มาดริดเป็นแชมป์มาแล้ว 7 สมัย ในขณะที่บาเลนเซียต้องการเป็นแชมป์สมัยแรกให้ได้ แต่สุดท้ายทีมราชันชุดขาวที่เลือกใส่ชุดดำในนัดนี้ก็เป็นฝ่ายถล่มเพื่อนร่วมชาติไปถึง 3-0 จากประตูของเฟอร์นานโด มอริเอนเตส, สตีฟ แม็คมานามาน และราอูล กอนซาเลส กลายเป็นแชมป์สมัยที่ 8

ปี 2003 : ยูเวนตุส กับ เอซี มิลาน

หลังจากนั้นสโมสรจากอิตาลีก็เป็นฝ่ายดวลกันเองในรอบชิงชนะเลิศบ้าง โดยเป็นการพบกันระหว่างยูเวนตุส เจ้าของแชมป์ 2 สมัย กับเอซี มิลาน อดีตแชมป์ 5 สมัย ซึ่งก่อนลงสนามทั้งสองทีมมีดีกรีแชมป์จากอิตาลีทั้งคู่ ทีมม้าลายเป็นแชมป์ลีก ในขณะที่ทีมปีศาจแดง-ดำเป็นแชมป์บอลถ้วย เกมการแข่งขันเป็นไปด้วยความสูสี มิลานเกือบขึ้นนำเมื่ออังเดร เชฟเชนโก้ส่งบอลสู่ก้นตาข่ายได้ แต่มีจังหวะล้ำหน้าเสียก่อน หลังจากนั้นทั้งคู่ไม่สามารถทำประตูกันได้จนต้องยิงจุดโทษตัดสินแชมป์ แล้วก็เป็นเชฟเชนโก้ ที่ยิงเข้าไปเป็นคนสุดท้ายช่วยให้เอซี มิลาน ที่เคยเป็นแชมป์มากกว่า เก็บแชมป์เพิ่มได้อีกสมัย

2008 : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ เชลซี

ถัดจากนั้นมาสองทีมจากอังกฤษก็ทะลุเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศได้บ้าง โดยเป็นการพบกับของสองทีมที่เพิ่งขับเคี่ยวแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีกกันมาอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เคยคว้าแชมป์รายการนี้ 2 สมัย กับเชลซี ที่ยังไม่เคยสัมผัสแชมป์มาก่อน โดยปีศาจแดงได้ประตูออกนำไปก่อนจากลูกโหม่งของคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ก่อนที่แฟรงค์ แลมพาร์ด จะมายิงตีเสมอก่อนจบครึ่งแรก หลังจากนั้นทั้งสองทีมทำประตูเพิ่มไม่ได้จึงต้องยิงจุดโทษหาผู้ชนะ ปีศาจแดงเป็นฝ่ายยิงก่อน ซึ่งโรนัลโด้เป็นคนเดียวที่ยิงพลาด เชลซีมีโอกาสชนะในการยิงจุดโทษลูกสุดท้ายของจอห์น เทอร์รี่ แต่แล้วอาถรรพ์ก็ทำงานเมื่อกัปตันสิงห์บลูลื้นระหว่างยิงจนบอลไปชนเสาอย่างจัง ก่อนที่นิโคลาร์ อเนลก้า จะยิงไปติดเซฟของเอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ พลาดการเป็นแชมป์สมัยแรกอย่างน่าเจ็บใจ

2013 : บาร์เยิร์น มิวนิค กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์

และแล้วนัดชิงชนะเลิศก็เป็นทีของสองทีมจากเยอรมันโคจรมาพบกันเองบ้าง โดยบาร์เยิร์น มิวนิค แชมป์ 4 สมัย ได้โอกาสดวลกับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ แชมป์ 1 สมัย เกมมาเข้มข้นในครึ่งหลังเมื่อ มาริโอ มานด์ซูคิซ ยิงให้ทีมเสือใต้ออกนำไปก่อนในนาทีที่ 60 แต่หลังจากนั้น 8 นาที อิคาย กุนโดกัน ก็ตามตีเสมอได้จากจุดโทษ ก่อนที่ อาร์เยน ร็อบเบน จะมายิงประตูชัยให้ทีมเสือใต้ก่อนหมดเวลานาทีเดียว ทำให้อาถรรพ์ยังดำเนินต่อไป

2014 : รีล มาดริด กับ แอตเลติโก มาดริด

ในปี 2014 ทีมจากสเปนก็ได้ชิงกันเองอีกครั้ง โดยครั้งนี้ยังคงเป็นเรอัล มาดริด เจ้าเดิมที่พกดีกรีแชมป์ 9 สมัย แต่คู่แข่งเปลี่ยนมาเป็นทีมร่วมเมืองอย่าง แอตเลติโก มาดริด ที่ยังไม่เคยคว้าแชมป์มาก่อน นับเป็นดาบี้แมตช์นัดชิงชนะเลิศครั้งแรกของยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกด้วย โดยก่อนลงสนามทีมตราหมีเพิ่งจะคว้าแชมป์ลาลีลาสเปนมาอย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งเมื่อเริ่มเกมไปได้ 36 นาที ดีเอโก โกดิน ก็โหม่งให้ทีมตราหมีขึ้นนำ เกมทำท่าว่าจะจบด้วยชัยชนะของทีมที่คว้าแชมป์น้อยกว่าอยู่แล้ว แต่หลังจากทดเวลาบาดเจ็บไปได้ 3 นาที เซร์คิโอ รามอส ก็โหม่งตีเสมอให้ทีมราชันได้ลุ้นต่อในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ก่อนที่แกเร็ธ เบล, มาร์เซโล และคริสเตียโน่ โรนัลโด้ จะช่วยกันยิงให้ทีมมาดริดมุมสีขาวคว้าแชมป์โดยไม่ต้องดวลจุดโทษ

2016 : รีล มาดริด กับ แอตเลติโก มาดริด

คล้อยหลังมา 2 ปี ดาร์บี้แมตช์นัดชิงชนะเลิศก็กลับมาจัดนัดล้างตากันอีกครั้ง โดยครั้งนี้เรอัล มาดริดเป็นฝ่ายออกนำไปก่อนจากรามอส ทั้งที่อยู่ในตำแหน่งล้ำหน้า แอตเลติโกมาได้ลูกจุดโทษในช่วงต้นครึ่งหลัง แต่อองตวน กรีซมัน ยิงไปชนคานกระเด้งออกมา หลังจากนั้นทีมตราหมีโหมบุกอย่างหนักและได้ลูกยิงตีเสมอจากยานนิค การ์ราสโก จนต้องต่อเวลาพิเศษแล้วยิงจุดโทษตัดสิน เรอัล มาดริดยิงได้แม่นกว่าจึงคว้าแชมป์ไปในที่สุด

2019 : ลิเวอร์พูล กับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์

จนกระทั้งครั้งล่าสุด ทีมจากอังกฤษทะลุมาเจอกันในรอบชิงอีกครั้ง โดยครั้งนี้เป็นการพบกันระหว่างลิเวอร์พูล แชมป์ 5 สมัย กับสเปอร์ที่ผ่านเข้าสู่รอบชิงเป็นครั้งแรก แม้ลิเวอร์พูลจะมีขุมกำลังที่เหนือกว่า แต่กูรูหลายสำนักกลับไม่ฟันธงให้ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ เนื่องจากอาถรรพ์ของเจอร์เก้น คล็อปป์ ที่นำทีมแพ้นัดชิงชนะเลิศถึง 6 ครั้งติดต่อกัน แต่แล้วเมื่อเกมเริ่มต้นขึ้นลูกทีมของคล็อปป์ก็ออกนำตั้งแต่นาทีที่ 2 ก่อนจะบวกได้อีกประตูก่อนหมดเวลา ช่วยให้หงส์แดงคว้าแชมป์สมัยที่ 6 และแสดงให้โลกเห็นว่าอาถรรพ์นัดชิงจากชาติเดียวกันรุนแรงกว่าอาถรรพ์อื่นทุกเรื่อง