วิวัฒนาการแห่งความสำเร็จของยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก

ในการแข่งขันฟุตบอลระดับสโมสร คงไม่มีรายการแข่งขันใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่า “ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก” ทัวร์นาเมนต์ที่สโมสรทั่วยุโรปต้องการคว้าแชมป์มาครอบครอง เพราะนอกจากแชมป์รายการนี้จะได้รับเงินรางวัลจำนวนมหาศาลแล้ว สโมสรที่เป็นแชมป์ยังได้ชื่อว่าเป็นเบอร์หนึ่งของยุโรปอีกด้วย โดยทุกปีจะมีทีมจากทุกประเทศทั่วยุโรปเข้าร่วมชิงชัยเพื่อค้นหาผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียว ซึ่งก่อนจะเป็นลีกที่ประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ ทางสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือยูฟ่า ได้ทำการปรับปรุงรูปแบบการแข่งขันหลายต่อหลายครั้ง จนกลายเป็นศึกชิงแชมป์ที่ตื้นเต้นเร้าใจอย่างในปัจจุบัน

ศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก เดิมใช้ชื่อว่า ยูโรเปียน คัพ เป็นการแข่งขันฟุตบอลที่จัดขึ้นโดยนิตยสารฟุตบอลชั้นนำของประเทศฝรั่งเศสอย่าง “เลกิ๊ป” เริ่มจัดเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1955 โดยเชิญสโมสรตัวแทนจาก 16 ประเทศชั้นนำ อาทิเช่น เรอัล มาดริด จากสเปน, เอซี มิลาน จากอิตาลี, ร็อต-ไวส์ เอสเซ่น จากเยอรมัน, สตาด แรนส์ จากฝรั่งเศส, พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น จากฮอลแลนด์ และสปอร์ตติ้ง จากโปรตุเกส เข้าร่วมการแข่งขันเหย้า-เยือนแบบประกบคู่แพ้คัดออก ซึ่งครั้งนั้นเชลซี จากอังกฤษ เป็นทีมเดียวที่ปฏิเสธเข้าร่วมการแข่งขัน อันเนื่องมาจากคำสั่งห้ามของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ ผู้จัดจึงเชิญทีมจากโปแลนด์เข้าแข่งขันแทน และแชมป์สมัยแรกก็ตกเป็นของเรอัล มาดริด

หลังจากประสบความสำเร็จในครั้งแรก การแข่งขันจึงถูกจัดขึ้นอีกครั้งในซีซั่นต่อมา ซึ่งได้เพิ่มทีมเข้าร่วมการแข่งขันเป็นตัวแทนจาก 21 ประเทศ และเรอัล มาดริดแชมป์เก่า โดยครั้งนี้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษได้ตอบรับคำเชิญเข้าร่วมการแข่งขัน แม้จะถูกต่อต้านจากสมาคมฟุตบอลอังกฤษก็ตาม ซึ่งในท้ายที่สุดเรอัล มาดริดก็ป้องกันแชมป์ได้สำเร็จ

ต่อมาฤดูกาล 1960-61 ในการแข่งขันครั้งที่ 6 สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือยูฟ่า ได้กลายมาเป็นผู้จัดการแข่งขันหลักนับแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งได้เพิ่มทีมเข้าร่วมแข่งขันเป็นแชมป์ลีกจาก 27 ประเทศ กับเรอัล มาดริด แชมป์เก่าและแชมป์ 5 สมัยติดต่อกัน และยังคงการแข่งขันแบบน็อกเอาท์เอาไว้ โดยครั้งนี้เบนฟิกา จากโปรตุเกสเป็นทีมที่คว้าแชมป์ไปครอง

จนกระทั้งฤดูกาล 1992-93 ยูฟ่าได้ทำการเปลี่ยนชื่อการแข่งขันมาเป็น ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก และปฏิวัติการแข่งขันเสียใหม่ โดยเพิ่มรอบแบ่งกลุ่มเข้ามาหลังจากแข่งขันแบบแพ้คัดออกจนได้ 8 ทีมสุดท้าย ซึ่งทั้ง 4 ทีมในแต่ละกลุ่มจะแข่งขันแบบเหย้า-เยือนพบกันหมด ทีมชนะจะได้ 3 คะแนน, เสมอได้ 1 คะแนน ส่วนทีมแพ้ไม่ได้คะแนน แล้วนำทีมที่คะแนนมากที่สุดในแต่ละกลุ่มมาแข่งขันรอบชิงชนะเลิศกัน หลังจากนั้นในฤดูกาลถัดมา ภายหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ทำให้มีชาติต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย จึงมีทีมแชมป์ลีกถึง 42 ประเทศเข้าร่วมแข่งขัน โดยมีการปรับการแข่งขันเล็กน้อย คือ หลังจัดอันดับในรอบแบ่งกลุ่มได้แล้ว จะนำทีมแชมป์กลุ่มไขว้มาเจอกับทีมอันดับ 2 ของอีกกลุ่ม แล้วนำ 2 ทีมที่ชนะเข้าไปแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศต่อไป

ต่อมาในซีซั่น 1994-95 ได้มีการปรับเปลี่ยนการแข่งขันครั้งใหญ่อีกครั้ง เริ่มจากลดจำนวนทีมให้เหลือแค่ทีมแชมป์เก่า กับทีมแชมป์จาก 23 ประเทศ โดยให้แชมป์เก่าและ 7 สโมสรจากลีกชั้นนำผ่านเข้าสู่รอบแบ่งกลุ่มอัตโนมัติ ส่วนทีมที่เหลือจะลงเตะรอบคัดเลือกจนได้ 16 ทีมสุดท้าย จากนั้นแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม แข่งขันพบกันหมดจัดอันดับหาแชมป์และรองแชมป์กลุ่มเข้าไปเล่นรอบน็อกเอาท์ต่อไป

ฤดูกาล 1997-98 ยูฟ่านำทีมแชมป์ลีกจาก 48 ประเทศกลับมามีส่วนร่วมในการแข่งขันอีกครั้ง โดยเพิ่มทีมรองแชมป์จาก 8 ลีกชั้นนำของยุโรปเข้ามาแข่งขันในรอบแบ่งกลุ่มด้วย ก่อนที่อีก 2 ฤดูกาลต่อมา จะนำค่าสัมประสิทธิ์มาคำนวณเพื่อเพิ่มจำนวนทีมให้กับลีก Top 3 เป็น 4 ทีม, ทีมลีก Top 6 เป็น 3 ทีม และทีมลีก Top 15 เป็น 2 ทีม และจัดทีมในรอบแบ่งกลุ่มเป็น 8 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม จนถึงปัจจุบัน

การปรับปรุงรูปแบบการแข่งขันของยูฟ่าด้วยการเพิ่มทีมจากลีกชั้นนำให้มากขึ้น แทนที่จะเป็นทีมแชมป์ลีกเพียงทีมเดียว ส่งผลให้ศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก กลายเป็นลีกที่ครองใจแฟนบอลทั่วโลก แม้จะทำให้แต่ละทีมมีจำนวนการแข่งขันในแต่ละฤดูกาลเพิ่มขึ้น แต่ทุกสโมสรก็เต็มใจเพื่อโอกาสที่มากขึ้นในการเป็นแชมป์ยุโรป