ฟรานซิสโก้ เกนโต้ เจ้าของแชมป์ยุโรป 6 สมัยแต่เพียงผู้เดียว

ในปัจจุบัน คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ถือเป็นนักเตะที่ครองแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกมากที่สุด จำนวน 5 ครั้ง จากการเล่นให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1 สมัย และเรอัล มาดริดอีก 4 สมัย แต่หากนับตั้งแต่ยุคบุกเบิกที่เดิมรู้จักกันในชื่อ ยูโรเปียนคัพ “ฟรานซิสโก้ เกนโต้” คือเจ้าของถ้วยแชมป์มากที่สุดในประวัติศาสตร์การแข่งขันชิงแชมป์สโมสรยุโรป

ฟรานซิสโก้ เกนโต้ ย้ายจากราซิ่ง ซานตานเดร์ มาร่วมทีมเรอัล มาดริด เมื่อปี 1953 โดยเป็นผู้เล่นในตำแหน่งปีกซ้ายที่เปี่ยมด้วยเทคนิคการเลี้ยงบอลและการจบสกอร์ที่ยอดเยี่ยม จนกลายเป็นนักเตะตำนานหมายเลข 11 ของราชันชุดขาว ด้วยผลงานการพาสโมสรยักษ์ใหญ่ของสเปนคว้าแชมป์ถึง 23 รายการ ซึ่งรวมไปถึงแชมป์ยูโรเปียนคัพ 6 สมัยด้วย

ในศึกยูโรเปียนคัพครั้งแรกที่จัดขึ้นเมื่อฤดูกาล 1955-56 เรอัล มาดริด เป็น 1 ใน 16 ทีมที่ถูกเชิญเข้าร่วมการแข่งขัน ซึ่งทีมราชันชุดขาวที่นำโดยเกนโต้ และอัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน่ กองหน้าตัวเก่ง ก็สามารถเอาชนะสต๊าด เดอ แร็งส์ ทีมแชมป์จากลีกฝรั่งเศสในรอบชิงชนะเลิศไปอย่างสนุก 4-3 ทั้งที่เป็นฝ่ายตามหลังถึง 2 ประตูตั้งแต่ต้นเกม ทำให้เรอัล มาดริดกลายเป็นแชมป์ยุโรปทีมแรกอย่างเป็นทางการ

ในฤดูกาลถัดมา ซานติอาโก เบอร์นาเบว ถูกเลือกให้เป็นสนามจัดการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศ ซึ่งเรอัล มาดริดสามารถเอาชนะทั้งราปิด เวียนนา, นีซ และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศกับฟิออเรนติน่า โดยแชมป์เก่าโชว์ฟอร์มดุถล่มทีมจากอิตาลีไป 2-0 ในสนามเหย้าของตัวเอง และป้องกันแชมป์ได้สำเร็จ

ในศึกยูโรเปียนคัพครั้งที่ 3 แม้เรอัล มาดริดจะเพิ่มเปลี่ยนผู้จัดการทีม แต่นักเตะชุดเดิมก็สามารถรักษาฟอร์มทะลุเข้าชิงชนะเลิศได้อีกครั้ง โดยมีเอซี มิลานเป็นด่านสุดท้าย  ยอดทีมจากอิตาลีทำประตูขึ้นนำได้ก่อน แต่แชมป์เก่าก็ตามตีเสมอได้ทั้ง 2 ครั้ง ทำให้เสมอกันไป 2-2 จนต้องต่อเวลาพิเศษออกไป 30 นาที แล้วก็เป็นเกนโต้ที่ยิงประตูชัยในนาทีที่ 107 ช่วยให้ทีมชุดขาวเป็นคว้าแชมป์ 3 สมัยติดต่อกัน

ปีต่อมาเกนโต้ และดิ สเตฟานโน่ ก็พาทีมเข้าชิงชนะเลิศเป็นครั้งที่ 4 ซึ่งเป็นการรีแมตช์นัดชิงกับสต๊าด เดอ แร็งส์ ที่มีดาวซัลโวฟุตบอลโลก 1958 อย่างชุสต์ ฟงแตน เป็นกองหน้าคนสำคัญ โดยทีมราชันชุดขาวเป็นฝ่ายย้ำแค้นไปได้จากลูกยิงของมาเตออส และดิ สเตฟาโน่ ทำให้พวกเขาครองแชมป์ยุโรปอีกสมัย

ฤดูกาล 1959-60 เรอัล มาดริดเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมอีกครั้ง โดยได้ มิเกล มูนญอซ อดีตกัปตันทีมชุดแชมป์ยุโรปสมัยแรกมาเป็นกุนซือ รวมทั้งได้ เฟเรนซ์ ปุสกัส มาเสริมทัพ และด้วยประสบการณ์อันโชกโชนของนักเตะและผู้จัดการทีม ราชันชุดขาวจึงถล่มไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ตไปถึง 7-3 จากการทำแฮตทริกของ 2 ดาวยิงอย่างดิ สเตฟาโน่ และปุสกัส ทำให้เรอัล มาดริดกลายเป็นแชมป์ยุโรป 5 สมัยติดต่อกันทีมแรกและทีมเดียวจนถึงปัจจุบัน หลังจากนั้นเรอัล มาดริดมีโอกาสเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศอีก 2 ครั้ง แต่ก็พ่ายให้กับเบนฟิก้า และอินเตอร์ มิลาน

จนกระทั้งฤดูกาล 1965-66 เกนโต้ในบทบาทกัปตันทีมได้โอกาสลงเล่นนัดชิงอีกครั้ง แม้สองกองหน้าตัวเก่งอย่างดิ สเตฟาโน่ และปุสกัส จะอำลาทีมไปแล้ว แต่ก็ได้ อมานซิโอ อมาโร่ และเฟอร์นานโด เซเรน่า ช่วยกันยิงให้ทีมพลิกกลับมาชนะปาร์ติซาน เบลเกรดได้สำเร็จ โดยนักเตะทีมแชมป์ครั้งนี้มีแค่เกนโต้ที่หลงเหลือมาจากชุดแชมป์สมัยแรกเมื่อปี 1956 ทำให้เขากลายเป็นนักเตะเพียงคนเดียวที่คว้าแชมป์ยูโรเปียนคัพ 6 สมัย

เกนโต้ ยิงประตูให้ราชันชุดขาวในศึกยูโรเปียนคัพไปถึง 30 ประตู จากการลงสนาม 89 นัด จนกระทั้งในปี 1971 เขาจึงตัดสินใจแขวนสตั๊ดในวัย 37 ปี นับเป็นการปิดตำนานยอดนักเตะที่ยิ่งใหญ่แห่งยูโรเปียนคัพ

บททดสอบฝีมือของซีเนดีน ซีดาน บนความล้มเหลวของเรอัล มาดริด

ความพ่ายแพ้ของ เรอัล มาดริด ในบ้านตัวเองให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยสกอร์ 1-2 ในศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก2019-20 รอบ 16 ทีมสุดท้าย ทำให้มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่ทีมราชันชุดขาวจะจอดตั้งแต่รอบน็อกเอาท์แรกเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน หลังจากเมื่อฤดูกาลที่แล้วพวกเขาก็ถูกเขี่ยตกรอบนี้ด้วยน้ำมือ อาแจกซ์ อัมสเตอร์ดัม อย่างพลิกความคาดหมาย ทั้งที่เมื่อฤดูกาลก่อนหน้านั้น เรอัล มาดริด คือทีมแรกในปะวัติศาสตร์ที่สามารถคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 3 สมัยติดต่อกัน

ในเกมดังกล่าว เรอัล มาดริดสามารถออกนำได้ก่อนจากการฉกฉวยความผิดพลาดของแนวรับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ วินิซิอุส จูเนียร์ จ่ายบอลเข้ากลางให้ อิสโก้ ยิงโล่ง ๆ เข้าประตูไปในนาทีที่ 60 แต่เมื่อเป็นฝ่ายตามหลังทีมเยือนก็โหมบุกจนมาได้ประตูตีไข่แตกจากความยอดเยี่ยมของเควิน เดอ บรอยน์ ที่เลี้ยงฝ่าแนวรับเจ้าบ้านในกรอบเขตโทษถึง 4 คน ก่อนจะบรรจงเปิดให้ กาเบรียล เฆซุส โหม่งทำประตูในนาทีที่ 78 หลังจากนั้น 5 นาทีเพลย์เมกเกอร์ทีมชาติเบลเยี่ยมก็เป็นคนสังหารจุดโทษช่วยให้ทีมเรือใบสีฟ้าเก็บชัยชนะในเลกแรกไปได้ก่อน แถมช่วงท้ายเกม เซร์คิโอ รามอส ยังมาโดนใบแดงไล่ออกจากสนาม ยิ่งทำให้สถานการณ์ของราชันชุดขาวเลวร้ายลงไปอีก เพราะนอกจากจะเสียอเวย์โกล์ไปถึง 2 ประตู ยังต้องมาเสียกองหลังคนสำคัญในนัดหน้าอีกด้วย ทำให้หนทางการผ่านเข้ารอบต่อไปยิ่งมืดมนเข้าไปใหญ่

ในการกลับมาคุมทีมอีกครั้งของซีเนดีน ซีดาน กุนซือเมืองน้ำหอมต้องประสบปัญหาอย่างหนักในเรื่องการจบสกอร์ เมื่อขาดเครื่องจักรผลิตประตูอย่างคริสเตียโน่ โรนัลโด้ เนื่องจากกัปตันทีมชาติโปรตุเกสถือเป็นนักเตะที่แบกทีมในเรื่องการทำประตูมาแต่ไหนแต่ไร เขาถล่มไปถึง 43 ประตูตลอด 3 ฤดูกาลที่ช่วยให้ทีมครองแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 3 สมัยติดต่อกัน โดยปัจจุบันคาริม เบนเซม่า ศูนย์หน้าตัวหลักของทีมที่เพิ่งลงเล่นเกมยุโรปให้กับทีมครบ 100 นัดในเกมล่าสุด เพิ่งจะยิงให้กับทีมในซีซั่นนี้ไปได้แค่ 4 ประตู แถมเอเด็น อาซาร์ นักเตะที่ทีมหวังให้เป็นตัวตายตัวแทนจนทุ่มทุนสูงถึง 150 ล้านปอนด์ กลับใช้เวลาไปกับการรักษาตัวมากกว่าการลงสนาม นอกจากนั้นเหล่าแนวรุกดาวรุ่งที่ทุ่มซื้อมาร่วมทีมด้วยมูลค่ามหาศาลทั้งลูก้า โยวิช และโรดรีโก้ กลับไม่อาจก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักของทีมได้เลยสักคน จนต้องกลับไปพึ่งแกเร็ธ เบล ที่เหมือนจะหมดอนาคตกลับทีมไปแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งผลงานของปีกทีมชาติเวลล์ก็ไม่ต่างจากคนอื่นสักเท่าไหร่

การแข่งขันนัดต่อไปถือเป็นงานท้าทายครั้งใหญ่ของซีเนดีน ซีดาน ในการพาทีมราชันชุดขาวที่เน้นความสามารถเฉพาะตัวตามสไตล์ทีมรวมดารา เข้าต่อกรกับลูกทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่เน้นการครองบอลและใช้ทีมเวิร์คในการเข้าทำประตู ซึ่งถือเป็นบททดสอบพิสูจน์ฝีมือของเทรนเนอร์ชาวฝรั่งเศสอีกครั้งว่าแชมป์ทั้งหมดที่ผ่านมาเป็นผลจากมันสมองของเขา หรือจากฝีเท้าของโรนัลโด้เป็นสำคัญ ซึ่งหากเรอัล มาดริดยังล้มเหลวอย่างต่อเนื่อง เราคงได้เห็นการปฏิวัติครั้งใหญ่ในถิ่นซานติอาโก้ เบอร์นาเบวแน่นอน